เพราะมนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ ที่เปรียบดั่งเพื่อน พี่-น้อง หรือ ญาติสนิทที่รู้จักคุ้นเคยกันมานาน การได้กลับบ้านไปพบเจอพวกเขา จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในใจที่ได้กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง ….

หากการ อาบป่า คือสะพาน ก็เป็นดั่งสะพานแห่งมิตรภาพ ที่เชื่อมเราเข้ากับธรรมชาติ ได้อย่างสมบูรณ์ผ่านการเปิดประสาทสัมผัสทางกายและทางใจ”

หลักในการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติให้มีความสุข คือการที่ตัวเราได้ปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ  แทนที่จะบังคับขืนใจธรรมชาติให้เปลี่ยนไปตามความต้องการของเรา นั่นจะทำให้เราเข้าใจและเข้าถึงความเป็นธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์

การจะเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ เราต้องเปิดกายใจและของเราให้เข้ากับพวกเข้าก่อน หรือเรียกว่าการ “เปิดผัสสะ” เปิดเพื่อสัมผัสความงดงามของธรรมชาติ เปิดเพื่อรับพลังจากธรรมชาติ เปิดเพื่อปลดปล่อยความเป็นเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แล้วเราจะค้นพบพลังแห่งความสุขบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นของขวัญที่ธรรมชาติตั้งใจมอบให้เรา…

อาบป่า คืออะไร ? (Forest Bathing)

พูดถึงอาบป่า ใครๆอาจจะคิดว่า เอ๊ะ… มันเหมือนกับการอาบน้ำหรือเปล่า หรือเป็นการที่เราไปอาบน้ำในป่าไหมนะ ? ถ้าจะตอบว่าไม่ใช่ ก็คงจะไม่ถูกเลยซะทีเดียวค่ะ เพราะการที่ไปนั่งแช่น้ำในลำธารตอนอยู่ในป่า นั่งให้สายน้ำไหลผ่านกายของเราไป แบบสงบ สบาย แบบนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของการอาบป่านะ แต่อาบบป่าจริงๆ คืออะไร? แล้วมีต้นกำเนิดมาจากไหน เรามาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

อาบป่า คือ การเข้าถึงธรรมชาติวิธีหนึ่งผ่านทางสัมผัสของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ตา หู ลิ้น จมูก กาย และใจของเราแบบช้าๆ ไปแบบจิตสงบ ใจสงบ เคลื่อนไหวช้า เดินช้า ก้าวช้า ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลยค่ะ แค่ปล่อยกาย ปล่อยใจไปตามสบาย เพื่อนๆรู้ไหมคะ ว่าการเดินช้า ไปช้า ก้าวช้าในป่าของเรานี่แหละ ช่วยให้ร่างกายเกิดการบำบัดฟื้นฟู และกลับมามีพลัง มีชีวิตชีวาอีกครัั้ง

มาท้าวความถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของการอาบป่ากันสักหน่อยดีกว่า การอาบป่า มาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ  คงไม่แปลกใจเลยใช่ไหมคะ เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอารยธรรมด้านป่าไม้ ที่สวยงาม รวมถึงด้านวัฒนธรรม ปรัชญา และศาสนาของชาวญี่ปุ่นก็ถูกหล่อหลอมมาจากป่าที่ปกคลุมทั่วประเทศของเขานี่แหละค่ะ

โดยศาสตร์แห่งการอาบป่านี้มีมายาวนาน เกือบ 40 ปีได้แล้วค่ะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 คำว่า “อาบป่า” มาจากภาษาญี่ปุ่นคำว่า “Shinrin-yoku” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ริเริ่มโดยรัฐบาลญี่ปุ่น จัดขึ้นครั้งแรกที่ป่าอาคาซาวะ เพื่อให้ประชาชนของเขา ได้เอาตัวเองออกมาจากชีวิตประจำวันแบบเดิม ๆ ด้วยสังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนของเขาเกิดความเคร่งเครียด มีอาการเจ็บป่วย สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตเริ่มแย่ลงจากการทำงาน ศาสตร์แห่งการอาบป่านี้แหละที่มาช่วยเยียวยาพวกเขาจากอาการเหล่านี้ได้

เพราะธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นอยู่เสมอ ถูกหล่อหลอม ผสมผสานและเผยให้เราได้เห็นผ่านทางวิถีชีวิต ศิลปะ การออกแบบ และการตกแต่งของพวกเขา เรียกได้ว่าธรรมชาติอันสวยงามอยู่ล้อมรอบตัวเลยค่ะ

ทำไมต้อง อาบป่า สำคัญอย่างไรกับชีวิต ?

แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่ประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกขยับเข้าสู่สังคมเมืองอย่างรวดเร็ว แต่ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2543 มนุษย์เริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าสู่ความเจริญอย่างเต็มตัว โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2593 ประมาณ 75% ของประชากรโลกจะขยับขยายเข้าสู่สังคมเมืองอย่างเต็มรูปแบบ

จากการรายงานผลของ Environmental Protection Agency ของสหรัฐอเมริกา ผู้คนถึง 93% ใช้ชีวิตแต่ในบ้านไม่ออกมาพบปะ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งนอกบ้าน และอีก 6% ใช้เวลาอยู่บนท้องถนน  ซึ่งจากการผลวิจัยของยุโรปก็ไม่ต่างกัน 90% ของประชากร ก็ใช้เวลาอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกัน ซึ่งกิจกรรมที่ทำในบ้านก็คงหนีไม่พ้น อาการจดจ่ออยู่กับหน้าจอ ไม่ว่าจะคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และที่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดนั่นก็คือ “โทรศัพท์มือถือ” ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ และปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาไม่จบไม่สิ้น

อาบป่าจึงเข้ามาช่วยเยียวยา ให้ผู้คนที่เริ่มกับเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ได้กลับมามีชีวิตที่ดีขึ้น และการได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติเพียงระยะเวลาสั้นๆ มีผลอย่างมากต่อร่างกาย และได้มีการวิจัยแล้วว่าการอาบป่านั้นช่วยให้ร่างกายเรากลับมาแข็งแรงขึ้นและร่างกายได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งค่ะ

ฝึกวิชา อาบป่า ทำได้ง่ายๆเริ่มได้ที่(ใกล้)บ้านคุณ

ศิลปะแห่งการอาบป่า คือ ศิลปะแห่งการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ผ่านประสาทสัมผัสของเรา

อาบป่า เป็นการเปิดผัสสะทางร่างกาย เปิดให้ตัวและหัวใจได้รับรู้ถึงธรรมชาติ ผ่านทางสัมผัส ของร่างกาย ปล่อยตัวและหัวใจไปแบบ “ช้าๆ” ช้าทางร่างกาย การก้าวเดิน รวมถึงใจที่ต้องสงบ ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องมีจุดหมาย การอาบป่าไม่ต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่มีต้องอุปกรณ์มากมาย มีแค่ตัวและหัวใจที่พร้อมก็เพียงพอแล้วค่ะ

อยากลอง อาบป่า ต้องทำยังไง?

ก่อนอื่นเราก็ต้องหาสถานที่ที่เราพอใจให้ตัวและหัวใจพร้อมสำหรับหยุดพัก ปกติแล้วการอาบป่า เราจะทำกันในป่า แต่เราไม่มีเวลาที่จะไปหรือไม่สะดวกที่จะไป เราก็สามารถทำที่บ้านหรือที่ใกล้บ้านก่อนก็ได้ค่ะ

สถานที่นั้น อาจจะเป็นสถานทีที่เรารู้สึกสบายใจและปลอดภัยที่จะอยู่ จากนั้นเราจะเริ่มใช้ sense ทางร่างกายเป็นกุญแจไขประตูสู่การอาบป่า

สถานที่ฝึกทำกิจกรรมอาบป่า เพื่อนๆอาจจะเลือกเป็นสวน หรือสนามหญ้าภายในบ้าน ที่มีลานและบริเวณเล็กน้อย พอมีพื้นที่สักหน่อยให้เราออกก้าวเดิน หรือถ้าบริเวณบ้านไม่สะดวก อาจจะเป็นสวนสาธารณะใกล้ๆ เลือกพื้นที่ในบริเวณเงียบๆ ห่างไกลจากผู้คนที่ทำกิจกรรมอยู่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ

ก่อนจะเริ่มให้เพื่อนๆเริ่มเช็คตัวเองว่า เราได้วางโทรศัพท์ของเราไว้ไกลตัวแล้ว (เพราะเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์อาจทำให้เราหลุดโฟกัสได้) ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มฝึกวิชาอาบป่า อาบความสุขกันค่ะ

• ทางตา Sight

ให้เพื่อนๆลองมองไปรอบๆ มองออกไปแบบไกลๆ จากนั้นให้ค่อยๆกางแขนออกแบบช้าๆจนสุด แล้วค่อยๆ หุบแขนเข้ามาด้านหน้า หลังจากทำแบบนี้ไปสักพัก ให้เราลอง ขยับนิ้วมือทุกนิ้วไปพร้อมๆกัน กางแขนเข้า-ออกช้าๆเช่นเคย แต่สิ่งที่เราโฟกัสไม่ใช่มือเราหรือแขนเราที่กำลังขยับ แต่เป็นสายตาที่มองไกลออกไป ในขณะที่เราทำอยู่นั้น เราจะรู้สึกได้ว่า เรามองได้กว้างขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ มองสถานที่ มองสี มองสิ่งต่างๆรอบตัวได้ชัดขึ้นค่ะ เพื่อนๆลองทำดูช้าๆนะคะ

• ทางหู Hearing

เปิดประสาทสัมผัสแห่งการรับรู้ทางเสียง เรามาเริ่มลองฟังเสียงรอบตัวเรากันค่ะ ให้เราตั้งสมาธิ ตั้งใจฟังเสียงรอบๆ ฝึกโฟกัสเสียงว่าเสียงนี้มาจากไหน เป็นเสียงของอะไร ถ้าเพื่อนๆยังรู้สึกไม่มีสมาธิให้ลองหลับตา แล้วแบ่งเสียงที่เราได้ยินเป็นระยะ เสียงไหนที่ได้ยินจากที่ไกล เสียงไหนที่ได้ยินจากที่ใกล้ๆ เริ่มปล่อยใจให้ยอมรับกับเสียงที่เรากำลังได้ยินว่า เสียงเหล่านั้นล้วนเป็นเสียงที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา แต่ถ้าฟังแล้วยังได้ยินเสียงไม่ชัด ให้เพื่อนๆเอามือทั้งสองข้าง ค่อยๆครอบจากด้านหลังใบหูของเรา การกระทำแบบั้นจะทำให้หูได้ยินเสียงชัดขึ้นค่ะ แล้วลองนับดูซิว่า เราได้ยินทั้งหมดกี่เสียงกันนะ…

• ทางสัมผัส Touch

การสัมผัสไม่ใช่แค่ผ่านมือของเราอย่างเดียว จริงๆทุกส่วนของร่างกายเราสามารถสัมผัสได้ค่ะ เพียงแค่ตัวเราตระหนักและรับรู้ว่า ส่วนนี้ของร่างกายกำลังสัมผัสกับอีกสิ่งหนึ่งอยู่ เช่น ขณะที่เราสวมเสื้อผ้า เราจะรู้สึกว่า หลังของเราโดนเนื้อผ้าสัมผัสอยู่ เท้าของเราขณะนี้กำลังแตะพื้นหญ้าอยู่ แขนของเรากำลังมีลมเบาๆเข้ามาประทะ เรารับรู้ได้ทุกส่วนของร่างกาย

ลำดับต่อไปจะเป็นการตั้งใจสัมผัส โดยตอนนี้ให้เพื่อนๆมองหาต้นไม้ใกล้ๆสักต้น หรือก้อนหินก้อนเล็กสักก้อนมาลองจับสัมผัสอย่างช้าๆ ค่อยๆหลับตาลง แล้วลองสัมผัสสิ่งนั้นดูสิว่า เนื้อสัมผัสของสิ่งที่เรากำลังรับรู้อยู่ เป็นรูปร่างลักษณะแบบไหน สิ่งๆนั้นทำให้เรารู้สึกถึงอะไร เรามีความรู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้น ลองค่อยๆหา ค่อยๆทำความเข้าใจกับสัมผัสนั้นดูนะคะ

• ทางกลิ่น Smell

การดมกลิ่น ให้เราเริ่มโฟกัสที่จมูกของเราว่ากลิ่นที่เรากำลังรับรู้อยู่นั้น เป็นกลิ่นของอะไร กลิ่นเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกถึงอะไร ถ้าเพื่อนๆคนไหน ฝึกทำที่บ้าน เทคนิคง่ายๆที่จะทำให้เราได้กลิ่นที่ชัดขึ้นคือ เพื่อนๆสามารถนำเครื่องเทศที่ใช้สำหรับประกอบอาหารสักชนิด มาลองดมกลิ่นดูได้ค่ะ แล้วลองนึกสิว่า…กลิ่นในขณะนั้นที่เรากำลังรับรู้อยู่ มันทำให้เราหวนนึกถึงความทรงจำอะไรบ้าง กลิ่นเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง…

• ทางการรับรส Taste

การรับรส คือการที่เรารับรู้รสชาติผ่านทางลิ้นและปากของเรา ถ้าเป็นการรับรสของธรรมชาติ อาจเป็นการลองชิมรสชาติของใบไม้สักใบ (ที่ไม่อันตราย) แต่ถ้าเพื่อนๆยังไม่แน่ใจ ให้เพื่อนๆเปิดสัมผัสนี้ผ่านการดื่มชาอุ่นๆสักแก้วก็ดีนะคะ การเปิดประสาทสัมผัสแห่งการรับรสเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนดื่ม ในขณะที่เรากำลังจะเทชาแก้วนั้น มือเรารู้สึกได้ถึงความอุ่นของแก้ว ในขณะที่เราหยิบแก้วชาเข้ามาใกล้ขึ้น เรารับรู้ได้ว่า ในมือของเรามีชาแก้วนั้นอยู่ พอเราจะยกดื่ม เราดึงถ้วยชาเข้ามาใกล้ปากของเรา เรารับรู้ได้ถึงไออุ่นๆของชาที่มากระทบบริเวณปากและจมูกของเรา เราเริ่มได้กลิ่นชา เริ่มดื่มเข้าไปแบบช้าๆ ค่อยๆชิม ลิ้มรสชาติของชาแบบช้าๆ และค่อยๆกลืนลงไปในร่างกาย หลักง่ายๆคือ เราได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับชาแก้วนั้นอย่างช้าๆค่ะ ดื่มแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ แต่อย่าลืมคำสำคัญของเรานะ “ช้าๆ” ค่ะ

• ทางใจ Heart

สิ่งที่สำคัญที่สุดเลย คือ”ใจ” เปิดให้ใจเราให้พร้อมรับพลังจากธรรมชาติ ให้ใจนำร่างกายเปิดสัมผัสช้าๆ ให้ใจรู้สึกว่าป่าและธรรมชาติที่เรากำลังเปิดรับอยู่นี้เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของเรา ไม่ใช่การบังคับฝืนใจให้ทำ ไม่ใช่กิจกรรมที่เราจำเป็นต้องทำ ให้ทำเพราะรู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ แค่นี้วิชาอาบป่าของเพื่อนๆ ก็จบหลักสูตรอย่างสมบูรณ์

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ได้ลองทำ (อ่านแล้วนึกภาพตามก็ได้นะ) คิดว่าเราจะได้อะไรจากการอาบป่าบ้าง … ที่แน่ ๆ ใจเรากายเราที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ทำให้เรานิ่งขึ้น และสงบขึ้น เป็นวิธีแห่งการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งไปในตัวที่ดีมากๆเลยค่ะ และอย่าลืมว่าความสุขง่ายๆ เกิดขึ้นได้รอบตัว อย่าลืมหาเวลาแห่งความสุขให้กับตัวเองกันด้วยนะคะ

ไขรหัสลับ อาบป่า ให้ความสุขอะไรกับกายและใจของเราบ้าง ?

อาบป่า เหมือนเป็นการที่ร่างกายและหัวใจได้รับยาชั้นดี ในแบบที่เราหาซื้อทั่วไปไม่ได้ ต้องใช้แรงกายและใจเข้าไปรับการบำบัดด้วยตัวของเราเอง

ด้านสุขภาพร่างกาย อาบป่าช่วยให้ ….

• ลดความดันโลหิต
• ลดความเครียด
• ช่วยในเลือดลมสูบฉีดดีขึ้น
• ลดระดับน้ำตาลในเลือด
• ลดอาการซึมเศร้า
• เพิ่มพละกำลัง
• นอนหลับดีขึ้น
• รักษาแผล หลังจากการผ่าตัด
• ต้านมะเร็ง
• ลดน้ำหนัก

ด้านสุขภาพใจ อาบป่าช่วยให้…

• ลดความเครียด
• ลดความวิตกกังวล
• สมาธิดีขึ้น
• ความจำดีขึ้น
• พัฒนาความจำระยะสั้นได้ดี
• ฟื้นฟูจิตใจ
• อารมณ์ดีขึ้น
• เกิดไอเดียใหม่ๆ มีความคิดสร้างสรรค

แล้วความสุขจะหนีไปไหนเสีย ถ้ากายสุข และใจสุข มนุษย์อย่างเราๆ ก็มีความสุขแบบไม่ต้องไปตามหาที่ไหนแล้วล่ะค่ะ

อยากให้ทุกคนได้หาเวลาให้กับตัวเอง ได้ลองไปอาบป่าดูนะคะ แล้วคุณจะค้นพบวิธีการชำระล้างความเหนื่อยล้าทางกายและใจ  ให้ตัวคุณได้รับพลัง และกลับมาการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอีกครั้งค่ะ

ความสุขและประโยชน์ที่ได้จากกา รอาบป่า ยังมีอีกมากมาย อยากให้เพื่อนๆได้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง >> ทริปอาบป่าที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรงกับโอโซนพรามสปา

เดินเข้าป่า ไปอยู่ในป่าดียังไง ทำไมต้องไป ตามไปอ่านต่อได้ที่   รวม 7 เหตุผลที่ผู้คนในเมืองเลือก เดินเข้าป่า

………………………………………………………………………….